วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 10.00 น. นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ประธานกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เดินทางไปติดตามสถานการณ์น้ำและการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เขตพื้นที่จังหวัดชัยนาท และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) นายพงศธร ศิริอ่อน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านสำรวจและหรือออกแบบ) นายอภิชาต ชุมนุมมณี ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ นายเสริมชัย เซียวศิริถาวร ผู้อำนวยงานสำนักงานชลประทานที่ 10 นายวัชระ ไกรสัย ผู้อำนวยงานสำนักงานชลประทานที่ 12 นางสาวจันทร์จิรา อักษรณรงค์ ผู้อำนวยการส่วนติดตามและประเมินผล กองประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมติดตามสถานการณ์น้ำ ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สำนักงานชลประทานที่ 12 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท
สำหรับสถานการณ์น้ำทั้งประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2568) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง จำนวน 483 แห่ง มีปริมาณน้ำรวม 50,337 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณน้ำใช้การ 26,390 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าปีถึงก่อน 6,484 ล้านลูกบาศก์เมตร และยังสามารถรับน้ำได้อีก 26,165 ล้านลูกบาศก์เมตร คาดว่า ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 จะมีปริมาณน้ำเก็บกัก 69,404 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าปี 2567 จำนวน 6,057 ล้านลูกบาศก์เมตร และลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวม 17,171 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณน้ำใช้การ 10,475 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าปีก่อน 5,917 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถรับน้ำได้อีก 7,701 ล้านลูกบาศก์เมตร คาดว่า ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 จะมีปริมาณน้ำเก็บกัก 24,563 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 มากกว่าปี 2567 จำนวน 2,875 ล้านลูกบาศก์เมตร
ในส่วนสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา นั้น ปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบน ที่ระบายจากเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนแควน้อยฯ ไหลมารวมกันที่ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสถานีวัดน้ำ C.2 ค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบัน 1,148 ลูกบาศก์เมตร/วินาที กรมชลประทาน จึงบริหารจัดการน้ำ ดังนี้ ระบายน้ำฝั่งตะวันออก 175 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ระบายน้ำฝั่งตะวันตก 218 ลูกบาศก์เมตร/วินาที และระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยา (C.13) 750 ลูกบาศก์เมตร/วินาที นอกจากนี้ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังได้ระบายน้ำลงสู่แม่น้ำป่าสัก 50 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ไหลผ่านเขื่อนพระรามหก 10 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ก่อนจะไหลมาบรรจบที่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสถานี C.29B อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี เฉลี่ย 655 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
ทั้งนี้ จากปริมาณฝนที่ตกหนักและตกสะสมในพื้นที่ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2568 เป็นต้นมา ส่งผลทำให้มีพื้นที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งสิ้น 31 จังหวัด ด้านการให้ความช่วยเหลือ กรมชลประทานเตรียมความพร้อมเครื่องจักร - เครื่องมือ รวม 6,772 หน่วย ประกอบด้วยเครื่องสูบน้ำ 2,563 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 497 เครื่อง รถบรรทุกน้ำ 298 คัน และเครื่องจักรกลสนับสนุนอื่น ๆ 3,414 หน่วย มีการให้ความช่วยเหลือแล้ว 50 จังหวัด รวม 873 หน่วย อีกทั้งยังได้มีการประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดน้ำให้แก่เกษตรกร ประชาชน และหน่วยงานต่าง ๆ รวม 727 ครั้ง
จากนั้น ช่วงบ่าย องคมนตรี และคณะ ได้เดินทางไปยังโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรมชลประทานได้จัดทำแผนบรรเทาอุทกภัยเจ้าพระยาตอนล่าง เพื่อแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทั้งด้านอุทกภัย การขาดแคลนน้ำ คุณภาพน้ำ และการบริหารจัดการน้ำ มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ และแนวทางการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของกรมชลประทาน และของคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งผลการจัดทำแผนบรรเทาอุทกภัยเจ้าพระยาตอนล่างนั้น ประกอบด้วยแผนงานทั้งหมด 9 กลุ่มแผนงาน โดยโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล – บางไทร เป็นแผนงานในลำดับที่ 7 ของแผนบรรเทาอุทกภัยเจ้าพระยาตอนล่าง
องค์ประกอบของโครงการ ประกอบด้วย 1) ขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ ความยาวประมาณ 22.50 กิโลเมตร ระบายน้ำได้สูงสุด 1,200 ลูกบาศก์เมตร/วินาที พร้อมก่อสร้างถนนผิวจราจรกว้าง 8 เมตร บนคันคลองทั้ง 2 ฝั่ง 2) ประตูระบายน้ำปากคลองน้ำหลาก จำนวน 4 บาน มีอัตราการระบายน้ำ สูงสุด 1,200 ลูกบาศก์เมตร/วินาที 3) ประตูระบายน้ำปลายคลองน้ำหลาก จำนวน 4 บาน มีอัตราการระบายน้ำ สูงสุด 1,200 ลูกบาศก์เมตร/วินาที 4) อาคารประกอบคลองระบายน้ำหลาก จำนวน 37 แห่ง 5) สะพานรถยนต์ข้ามคลองระบายน้ำหลาก จำนวน 11 แห่ง 6) กำแพงป้องกันตลิ่งบริเวณปลายคลองจุดบรรจบแม่น้ำเจ้าพระยา และ 7) คันกั้นน้ำโดยรอบพื้นที่โครงการพร้อมอาคารประกอบ ความยาวประมาณ 54 กิโลเมตร เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ จะบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาและพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่างได้เฉลี่ย 1.9 – 2.5 ล้านไร่/ปี และสามารถลดระดับความลึกของน้ำท่วมลงได้ เพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำสำหรับการใช้ประโยชน์พื้นที่ด้านเกษตรกรรมรวม 229,138 ไร่ และมีน้ำใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค 15 ล้านลูกบาศก์เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 48 ตำบล 3 เทศบาล 362 หมู่บ้าน อีกทั้งยังเป็นเส้นทางสัญจรทางน้ำเลี่ยงตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาได้อีกด้วย สำหรับระยะเวลาโครงการ 8 ปี (2562 – 2569) ผลการดำเนินงานปัจจุบัน ร้อยละ 58.73