วันนี้ (17 กันยายน 2568) นายถาวร ทันใจ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายบุรีรัตน์ วงศ์บุรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน นายนพกูล พิมพ์ดี ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรังรักษายมน่าน นายสมคิด สะเภาคำ ผู้อำนวยการศูนย์อุทกวิทยาชลประทานภาคเหนือตอนล่าง Ms.Niamh Collier-Smith ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย เจ้าหน้าที่จากสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าของโครงการ "เสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มน้ำของประเทศไทย ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและการเกษตรแบบยั่งยืน" ซึ่งเป็นความร่วมมือที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ณ จังหวัดพิษณุโลก
โดยจุดแรกนายถาวรฯ และคณะ ได้เข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียนเกษตรกร (Farmer Field School) ตำบลตลุกเทียม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเสริมสร้างองค์ความรู้และถ่ายทอดเทคนิคการเกษตรสมัยใหม่ให้กับชาวบ้านในพื้นที่
จากนั้นได้เยี่ยมชมสถานที่ดำเนินมาตรการ "การปรับตัวโดยอาศัยระบบนิเวศ (Ecosystem based Adaptation, EbA)" ในพื้นที่จริง และในช่วงบ่ายได้เดินทางไปที่คลองตะเข้ เพื่อตรวจสอบการทำงานของระบบ Flow Radar และพูดคุยกับเกษตรกรอย่างใกล้ชิด ด้วยการนำเสนอ "เครื่องมือตรวจวัดการไหล (Flow Radar) และแอปพลิเคชัน "GreenWaterUnity" ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างแม่นยำ
นายถาวรฯ กล่าวว่า โครงการนี้ริเริ่มตั้งแต่ปี 2566 เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถรับมือกับปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยได้อย่างยั่งยืน พร้อมกับเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำข้อมูลและองค์ความรู้มาประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
จากนั้น คณะได้เดินทางต่อไปยังอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เพื่อเยี่ยมชม ประตูระบายน้ำคลองเหมืองช้าง แห่งที่ 1 เพื่อติดตามผลการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ก่อนจะมีการประชุมเพื่อสรุปผลการดำเนินงานของโครงการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจของการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและองค์กรระดับโลก ซึ่งไม่ได้เพียงมอบเครื่องมือ แต่ยังมอบองค์ความรู้และพลังในการพึ่งพาตนเอง ช่วยยกระดับภาคการเกษตรกรรมไทยให้ก้าวสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความยั่งยืนอย่างแท้จริง